1. Electro-magnetic radiation
Electro-magnetic
radiation คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการถ่าย
เทพลังงาน จากแหล่งที่มีพลังงานสูง ทั้งจากดวงอาทิตย์และจาก Flatform แผ่รังสีออกไปรอบๆ โดยมีคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ
ความยาวคลื่น โดยอาจวัดเป็น nanometer
(nm) หรือ micrometer (mm) และ
ความถี่คลื่น (f) ซึ่งจะวัดเป็น hertz
(Hz) โดยคุณสมบัติทั้งสองมีความสัมพันธ์ผ่านค่าความเร็วแสง
ในรูป c = fl ซึ่ง ความยาวคลื่นและความถี่จะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน คือ ถ้ามีความยาวคลื่นมาก ความถี่ก็จะน้อย และในทางกลับกันถ้าความยาวคลื่นสั้น ความถี่จะสูง
2. Spectrum/spectral/Visible
light/Infrared/microwave
Spectrum คือ ปรากฏการที่ได้จากการแยกรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าออกเป็นความถี่ ต่าง ๆ หรือความยาวคลื่นต่าง ๆ ที่อยู่ในรังสีนั้น สำหรับรังสีของแสงที่ตามองเห็นได้ Spectrum จะปรากฏเป็นสีต่าง ๆ เมื่อให้แสงสว่างส่องผ่านแท่งแก้วปริซึม
สเปกตรัมที่เกิดจากวัตถุเปล่งรังสีได้ เรียกว่า สเปกตรัมเปล่งรังสี (Emission Spectrum)
Spectral คือ ความแตกต่างกันทางด้านคลื่นรังสี
ของวัตถุจะแสดงให้เห็นในรูปของสีต่างๆ เช่น การที่เราเห็นวัตถุเป็นสีเขียว
เนื่องจากวัตถุนั้นสะท้อนพลังงานในช่วงคลื่นสีเขียวมาก
Visible light คือ
ช่วงคลื่นที่ใช้ประกอบในการสำรวจระยะไกลส่วนใหญ่อยู่ในความยาวคลื่นเชิงแสง (Optical
Wavelength) คือ 0.34-14 ไมครอน
ซึ่งสามารถถ่ายภาพและบันทึกภาพด้วยฟิล์มถ่ายรูป และอุปกรณ์บันทึกภาพ (Sensor) ช่วงคลื่นที่มีผลตอบสนองต่อตาของมนุษย์ คือ 0.3-.07 ไมครอน แบ่งเป็น 3 ช่วงคือ น้ำเงิน เขียว
และแดง
Infrared คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในช่วง 1011 – 1014 เฮิรตซ์ หรือความยาวคลื่น 10-3
– 10-6 เมตร เรียกว่า
รังสีอินฟราเรด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
คลื่นความถี่สั้น (Millimeter waves)ซึ่งจะมีย่านความถี่คาบเกี่ยวกับย่านความถี่ของคลื่นไมโครเวฟอยู่บ้างวัตถุร้อน จะแผ่รังสีอินฟราเรดที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่า 10-4 เมตรออกมา ประสาทสัมผัสทางผิวหนังของมนุษย์สามารถรับรังสีอินฟราเรด ให้ความร้อนโดยการแผ่รังสี
โดยไม่ต้องใช้ตัวกลางนำพาความร้อนเหมือนเช่นระบบอื่น เช่น Heater ใช้ลมในการนำพาความร้อนและ Infrared ยังเป็นพลังงานบริสุทธิ์ไม่ก่อให้เกิดมลพิษอีกด้วย มีความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ที่ใช้อยู่ สามารถจำแนกได้ดังนี้
Infrared Short
wave , Infrared Medium wave and Infrared Long wave
Microwave คือ ช่วงคลื่นไมโครเวฟ
(Microwave remote sensing) เป็นการบันทึกข้อมูลในช่วงคลื่นช่วงคลื่นที่อยู่ระหว่าง 1 มิลลิเมตร - 1 เมตร
ซึ่งช่วงคลื่นที่มีความยาวคลื่นยาวสามารถทะลุผ่านเมฆ,หมอก, ควัน, ฝุ่น และฝน
ทำให้สามารถนำมาใช้ในการสำรวจได้ในทุกสภาพอากาศ ช่วงคลื่นไมโครเวฟนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบรรยากาศโลก, พื้นดิน และมหาสมุทร
Remote Sensing ช่วงคลื่นไมโครเวฟ แบ่งออกได้ 2 แบบ คือ
- ไมโครเวฟชนิดพาสซีฟ
อุปกรณ์วัดจะรับคลื่นพลังงานไมโครเวฟที่เปล่งออกมาโดยตรงจากวัตถุบนพื้นผิว โลก
อุปกรณ์วัด Passive Microwave ได้แก่ Microwave
Radiometer เป็นต้น
- ไมโครเวฟชนิดแอกตีฟ อุปกรณ์วัดจะส่งคลื่นไมโครเวฟลงไปยังวัตถุบนพื้นผิวโลก และจะรับคลื่นพลังงานจากการกระจัดกระจายกลับจากวัตถุนั้น ๆ อุปกรณ์ Active Microwave ได้แก่ Synthetic Aperture Radar (SAR), Microwave Scatterometer, Radar Altimeter เป็นต้น
- ไมโครเวฟชนิดแอกตีฟ อุปกรณ์วัดจะส่งคลื่นไมโครเวฟลงไปยังวัตถุบนพื้นผิวโลก และจะรับคลื่นพลังงานจากการกระจัดกระจายกลับจากวัตถุนั้น ๆ อุปกรณ์ Active Microwave ได้แก่ Synthetic Aperture Radar (SAR), Microwave Scatterometer, Radar Altimeter เป็นต้น
3. Spectral Reflectance/Spectral signat
Spectral
Reflectance คือ การสะท้อนคลื่นรังสี หรือ
คุณสมบัติการสะท้อนแสงของวัตถุ กล่าวคือการนำเอาค่าสะท้อนแสงมา plot เป็นโค้งหรือ profile curve แล้วเปรียบเทียบค่าสะท้อนแสงวัตถุมาตรฐาน ถ้ารูปโค้งไหนคล้ายกับรูปโค้งมาตรฐาน ก็ตีความได้ว่า
วัตถุนั้นเป็นวัตถุรูปโค้งตามมาตรฐาน
Spectral
signature คือ ปฏิสัมพันธ์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวของวัตถุบนพื้นผิวโลกใด ๆ
ทำให้เกิดคุณสมบัติของความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและวัตถุบนพื้นผิวโลก 4 ประการ
1) วัตถุต่างชนิดจะมีปฏิสัมพันธ์กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแตกต่างกัน – กล่าวคือ ที่ช่วงคลื่นเดียวกัน อาคารสิ่งปลูกสร้างกับพืช
จะมีปฏิสัมพันธ์กับช่วงคลื่นนั้นแตกต่างกัน
2) วัตถุชนิดเดียวกันจะมีปฏิสัมพันธ์กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างชนิดกันแตกต่างกัน – กล่าวคือ พืชจะมีปฏิสัมพันธ์กับช่วงคลื่นของ พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ต่างกันนั้นไม่เหมือนกัน
3) ลักษณะปฏิสัมพันธ์ของวัตถุชนิดเดียวกันกับพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงเวลาและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน
ย่อมจะมีลักษณะที่ แตกต่างกัน – เช่น ต้นข้าวที่ต่างวัย คือ ต้นอ่อน และที่กำลังออกรวง
ย่อมมีลักษณะปฏิสัมพันธ์กับคลื่นที่ไม่เหมือนกัน
4) วัตถุชนิดเดียวกันจะมีปฏิสัมพันธ์กับพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
แสดงในรูปเส้นกราฟมีลักษณะเฉพาะตัว เรียกว่า “ลายเส้นเชิงคลื่น” หรือ “Signature” ซึ่งใช้ประโยชน์ในการตีความและจำแนกวัตถุต่าง
ๆ ออกจากกัน
4. Wavelength/band
Wavelength คือ ความยาวคลื่น คือ ระยะทางที่คลื่นไปได้ในช่วงเวลาของ 1 คาบ
แทนด้วย บางทีความยาวคลื่นคือระยะจากระหว่างจุด 2 จุดที่อยู่ถัดกัน
ซึ่งมีลักษณะเหมือนกัน เช่น จากจุด C ถึง C / หรือจากจุด D ถึง D / ลักษณะที่เหมือนกัน เรียกว่า มีเฟสตรงกัน (inphase)
Band คือ ความยาวของคลื่นที่เรียกว่า
ช่วงคลื่น (Band) คือ
การแบ่งสเปคตรัมออกเป็นช่วงแคบๆ จำนวนมากแต่ละช่วงจะเรียกว่าแบนด์ (band) หรือช่อง (channel) ซึ่งจะเรียกตามสี (ในกรณีที่มองเห็นได้) หรือชื่อของช่วงแสงนั้น (เช่น อินฟราเรด)
หรือช่วงของความยาวคลื่น ข้อมูลนี้จะถูกประมวลผลโดยเครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อสร้างภาพหรือใช้เป็นข้อมูลสำหรับโปรแกรมวิเคราะห์ภาพ
5. Digital number/intensity/grey level
Digital number คือ การใช้ค่าความเข้มของแสงที่วัดได้ซึ่งเรียกว่า Digital
Numbers (DNs) ที่จะมีค่าสัมพันธ์กับความเข้มของแสงที่สะท้อนหรือเปล่งออกมาในแบนด์ของอุปกรณ์รับรู้นั้น
ค่า DNs เป็นตัวเลขจำนวนเต็มซึ่งในที่นี้มีค่าระหว่าง 0-255 ระดับของสีเทาในภาพเริ่มตั้งแต่สีดำ (DN=0) ไปจนถึงสีขาว
(DN=255) ซึ่งค่าของ DN ที่เพิ่มขึ้นจะแสดงด้วยสีเทาดำไปจนถึงสีเทาอ่อนจนเป็นสีขาวเมื่อDN=255
Intensity คือ ความเข้มของสี (Intensity) คือค่าที่ใช้ระบุว่าสีนั้นมีความเข้มมากเท่าใด
ถ้าค่า Intensity มีค่ามากขึ้นก็จะทำให้สีที่ได้มีส่วนประกอบของสีขาวมากขึ้น
ในทางกลับกันถ้าค่านี้มี ค่าน้อยลงก็จะทำให้สีที่ได้มีส่วนประกอบของสีดำมากขึ้นเช่นกัน
grey
level คือ ระดับเทา ที่มีความสามารถแสดงสีได้ถึง 256 สี โดยจะไล่สีได้ตั้งแต่
สีดำ สีเทา และสีขาวตามลำดับ โดยสีแต่ละสีจะเกิดจากขนาดแสงที่ตกกระทบบนรูปภาพ
เรียกขนาดแสงที่ตกกระทบนี้ว่า ความเข้มแสง ( Intensity )
6. Atmosphere/Atmospheric effect/
Atmospheric window
Atmosphere คือ อากาศที่อยู่รอบตัวเรา รวมทั้งที่ห่อหุ้มโลก
ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลขึ้นไปประมาณ 1,000 กิโลเมตร บรรยากาศอยู่โดยรอบ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น
และไม่สามารถมองหรือสังเกตได้
มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั้งพืชและสัตว์
Atmospheric
effect คือ เมื่อพิจารณาที่บรรยากาศของของหมอกยามเช้าที่ผมบรรยายข้างต้น
จะเห็นว่าสิ่งที่ทำให้บรรยากาศมีสีสันก็คือบรรยากาศของหมอก (Fog) เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของหมอกบางครั้งหมอกจะบดบังเอาวัตถุต่างๆ ที่มีอยู่ให้หายไปเบื้องหลังสายหมอก ในทาง 3 มิติเรียกว่าหมอก (Fog) และเมื่อตะวันมาเยือน
หมอกจะเริ่มจางหาย วัตถุที่อยู่หลังหมอกจะปรากฏให้เราเห็นลางๆ ในทาง 3 มิติเรียกปรากฏการณ์เช่นนี้ว่า Transparency effect หรือ alpha bending)ซึ่งในกรณีนี้อาจจะเรียกได้ว่าหมอกเป็นสิ่งที่มีความโปร่งใส
(Transparency) ค่าความโปร่งใสนี้หากมีมากก็จะทำให้มองวัตถุที่ถูกวางไว้หลังวัตถุที่มีความโปร่งใสนี้ได้
เช่น มองเห็นวัตถุที่วางไว้ด้านหลังของกระจกใสมากกว่าวัตถุที่ซ่อนตัวอยู่หลังหมอก
ทั้งนี้เพราะกระจกมีคุณสมบัติของ Transparency มากกว่าหมอกเป็นต้น
Atmospheric
window คือ การที่ช่วงคลื่นสามารถทะลุทะลวง
หรือผ่านชั้นบรรยากาศลงมาที่ผิวโลกได้เรียกว่า หน้าต่างบรรยากาศ (Atmospheric Window) ซึ่งมีหน้าต่างบรรยากาศในช่วงความยาวคลื่นตามองเห็น (0.3-0.7 m m) และช่วงอินฟราเรดสะท้อนกับอินฟราเรดช่วงความร้อน
ช่วงของหน้าต่างบรรยากาศเหล่านี้จะมีประโยชน์
ต่อการพัฒนาเลือกระบบอุปกรณ์บันทึกภาพในสัมพันธ์กับการสะท้อนของช่วงคลื่นต่าง ๆ
7. Feature/Object
Feature คือ สภาพทางภูมิศาสตร์ หรือ วัตถุที่ปรากฏบนพื้นโลก เมื่อจะนำมาจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล GIS จะต้องแทนด้วยสัญลักษณ์ที่เหมาะสม เช่น จุด เส้น และอาณาบริเวณ และต้องมีการอ้างอิงพิกัดที่ถูกต้อง
Object คือ วัตถุหรือสิ่งต่าง ๆ บนโลก ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ฯลฯ Object จะมีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ประการคือ
1. Property หรือ คุณสมบัติเฉพาะตัวและเมธอด(Method) เพื่อใช้ทำงานอย่างหนึ่งอย่างใดกับออบเจ็คนั้นๆ
2. Method หรือ ความสามารถในการทำงานจะทำงานก็ต่อเมื่อมีอีเวนต์(Event)ใดๆเกิดขึ้น จะไม่ทำโดยพลการเด็ดขาด เช่นอีเวนต์”คลิกปุ่ม Change Icon…”
1. Property หรือ คุณสมบัติเฉพาะตัวและเมธอด(Method) เพื่อใช้ทำงานอย่างหนึ่งอย่างใดกับออบเจ็คนั้นๆ
2. Method หรือ ความสามารถในการทำงานจะทำงานก็ต่อเมื่อมีอีเวนต์(Event)ใดๆเกิดขึ้น จะไม่ทำโดยพลการเด็ดขาด เช่นอีเวนต์”คลิกปุ่ม Change Icon…”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น