รีโมตเซนซิงช่วงคลื่นแสง (Optical remote sensing) เป็นการบันทึกข้อมูลในช่วงคลื่นแสง ได้แก่
ช่วงคลื่นแสงตามองเห็น (visible), อินฟราเรดใกล้ (near
infrared) และอินฟราเรดคลื่นสั้น (shortwave infrared) จากการสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์เมื่อตกกระทบวัตถุบนพื้นผิวโลก
วัตถุแต่ละชนิดมีการสะท้อนและดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงคลื่นแตกต่างกัน การสะท้อนเชิงคลื่นของแต่ละวัตถุนี้เรียกว่า "ลายเซ็นการสะท้อนเชิงคลื่น (spectral reflectance signature)" ซึ่งเป็นลักษณะที่ใช้แยกความแตกต่างของวัตถุแต่ละชนิด เช่น ค่าการสะท้อนแสงของน้ำโดยทั่วไปจะต่ำ แต่จะมีการสะท้อนสูงที่ปลายคลื่นน้ำเงิน ซึ่งทำให้น้ำใสจะปรากฏเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดินจะมีค่าการสะท้อนสูงกว่าพืชไปจนถึงช่วงคลื่นอินฟราเรด ค่าการสะท้อนของดินขึ้นอยู่กับส่วนผสมของดิน ตัวอย่างดินที่แสดงในภาพจะปรากฏสีน้ำตาล ส่วนพืชจะมีค่าการสะท้อนแสงที่แตกต่างดินและน้ำ คือ ค่าการสะท้อนจะต่ำในช่วงคลื่นน้ำเงินและแดง ในขณะที่จะมีค่าการสะท้อนสูงที่ช่วงคลื่นเขียวและช่วงคลื่นใกล้อินฟราเรด
ภาพระดับการสะท้อนการแผ่รังสี
และความยาวคลื่น
ภาพถ่ายแบบ visible แสดงให้เห็นถึงปริมาณแสงอาทิตย์ที่สะท้อนกลับไปยังอวกาศโดยเมฆ
ละอองของเหลว กาส และพื้นผิวโลก เมฆที่หนากว่ามีค่าการสะท้อนสูงกว่า (ค่าalbedo)
และ จะสว่างกว่าเมฆที่บางกว่า
อย่างไรก็ตามมันก็ยากที่จะแยกว่าเป็นเมฆระดับต่ำ กลาง หรือสูงในภาพถ่ายแบบ visible นี้ถ้ามันมีค่า albedo เดียวกัน
และสำหรับความแตกต่างนี้ภาพถ่ายดาวเทียมแบบอินฟราเรดจะมีประโยชน์
ภาพถ่ายแบบคลื่นแสงที่ตามองเห็น
(Visible)
การวัดอินฟราเรดจากดาวเทียมมีความสัมพันธ์กันอุณหภูมิความสว่าง
สำหรับภาพอินฟราเรด
วัตถุที่มีความร้อนกว่าจะมีสีที่มืดกว่าวัตถุที่มีอุณหภูมิเย็นกว่าเมื่ออุณหภูมิที่ชั้นบรรยากาศชั้นล่างสุดลดลงตามความสูง
เมฆระดับสูงจะมีความเย็นมากกว่าเมฆระดับต่ำ ดังนั้นเมฆระดับต่ำ
จะเห็นว่ามีสีที่เข้มกว่าในภาพถ่ายอินฟราเรด และเมฆที่สูงกว่า
ภาพถ่ายแบบคลื่นอินฟราเรด (Infrared)
การกระจัดกระจาย (Scattering) เกิดเนื่องจากอนุภาคเล็กๆ ในบรรยากาศมีทิศทางการกระจายไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับขนาดของอนุภาคและความยาวคลื่น ดังนี้
การหักเห (Refraction) เกิดขึ้นเมื่อแสงเดินทางผ่านบรรยากาศที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน ซึ่ง
ปฏิสัมพันธ์ของพลังงานกับวัตถุบนพื้นผิวโลก (Energy Interaction with Earth Surface Features)
ปฏิสัมพันธ์ของพลังงานในชั้นบรรยากาศ
(Energy
Interaction in the Atmosphere)
คลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศ
แล้วสะท้อนกลับสู่บรรยากาศก่อนที่จะถูก
บันทึกโดยอุปกรณ์สำรวจชั้นบรรยากาศของโลก จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นพลังงานในด้าน
ทิศทาง ความเข้ม ตลอดจนความยาวและความถี่ของช่วงคลื่น
เพราะชั้นบรรยากาศประกอบด้วยฝุ่นละออง
ไอน้ำ และก๊าซต่างๆ ทำให้เกิดปฏิกิริยากับคลื่นพลังงาน 3 กระบวนการคือ การกระจัดกระจาย (Scattering)
การดูดซับ (Absorption) และการหักเห (Refraction)
ปริมาณพลังงานตกกระทบผิวโลกน้อยลง
การกระจัดกระจาย (Scattering) เกิดเนื่องจากอนุภาคเล็กๆ ในบรรยากาศมีทิศทางการกระจายไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับขนาดของอนุภาคและความยาวคลื่น ดังนี้
ก.) การกระจายแบบ Rayleigh Scattering เกิดขึ้นเนื่องจากขนาดของอนุภาคมีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่าความยาวคลื่นที่ตกกระทบ
ท าให้เกิดสภาวะหมอกควัน (Haze)
ความคมชัดของภาพลดลง
ข.) การกระจายแบบ Mie Scattering เกิดขึ้นเมื่อขนาดของอนุภาคมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวคลื่น
เช่น ไอน้ าฝุ่นละออง เกิดในความยาวของช่วงคลื่นยาวกว่าแบบแรก
ค.) การกระจายแบบ Nonselective
Scattering เกิดขึ้นเมื่อเส้นผ่าศูนย์กลางของอนุภาคมีขนาดใหญ่
กว่าความยาวคลื่นที่ตกกระทบ เช่น หยดน้ า
โดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอนุภาค 5-10 ไมครอน
จะสะท้อนความยาวคลื่นตามองเห็น (Visible Wavelength) และคลื่นอินฟราเรดสะท้อน (Reflected Infrared) ได้เกือบเท่ากัน ซึ่งในช่วงความยาวคลื่นที่ตามองเห็น ปริมาณของคลื่นต่างๆ เช่น
น้ำเงิน สีขาว และช่วงคลื่นสะท้อนทุกทิศทางเท่ากันทำให้มองเห็นเฆมเป็นสีขาว
การดูดซับ (Absorption) การดูดซับทำให้เกิดการสูญเสียพลังงาน การดูดซึมพลังงานจะเกิดขึ้นที่ความยาวของคลื่นบางช่วง สารที่ดูดซับพลังงานที่ส าคัญในบรรยากาศได้แก่ไอน้ำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และโอโซน เนื่องจากสารเหล่านี้จะดูดซึมพลังงานที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ ดังนั้นจะมีบางช่วงคลื่นที่สามารถทะลุทะลวง หรือผ่านชั้นบรรยากาศลงมาที่ผิวโลกได้เรียกว่า หน้าต่างบรรยากาศ (Atmospheric Window) ซึ่งมีหน้าต่างบรรยากาศในช่วงความยาวคลื่นตามองเห็น (0.3-0.7 m m) และช่วงอินฟราเรดสะท้อนกับอินฟราเรดช่วงความร้อน ช่วงของหน้าต่างบรรยากาศเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาเลือกระบบอุปกรณ์บันทึกภาพในสัมพันธ์กับการสะท้อนของช่วงคลื่นต่างๆ
การดูดซับ (Absorption) การดูดซับทำให้เกิดการสูญเสียพลังงาน การดูดซึมพลังงานจะเกิดขึ้นที่ความยาวของคลื่นบางช่วง สารที่ดูดซับพลังงานที่ส าคัญในบรรยากาศได้แก่ไอน้ำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และโอโซน เนื่องจากสารเหล่านี้จะดูดซึมพลังงานที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ ดังนั้นจะมีบางช่วงคลื่นที่สามารถทะลุทะลวง หรือผ่านชั้นบรรยากาศลงมาที่ผิวโลกได้เรียกว่า หน้าต่างบรรยากาศ (Atmospheric Window) ซึ่งมีหน้าต่างบรรยากาศในช่วงความยาวคลื่นตามองเห็น (0.3-0.7 m m) และช่วงอินฟราเรดสะท้อนกับอินฟราเรดช่วงความร้อน ช่วงของหน้าต่างบรรยากาศเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาเลือกระบบอุปกรณ์บันทึกภาพในสัมพันธ์กับการสะท้อนของช่วงคลื่นต่างๆ
การหักเห (Refraction) เกิดขึ้นเมื่อแสงเดินทางผ่านบรรยากาศที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน ซึ่ง
ปริมาณการหักเหกำหนดโดยค่าดัชนีของการหักเห
ที่เป็นอัตราส่วนระหว่างความเร็วของแสงในสูญญากาศ
กับความเร็วของแสงในชั้นบรรยากาศ ทำให้มีผลต่อการคลาดเคลื่อนของตตำแหน่งที่ปรากฏบนภาพ
แต่สามารถปรับแก้ไขได้โดยกระบวนการปรับแก้ภาพภายหลัง
ปฏิสัมพันธ์ของพลังงานกับวัตถุบนพื้นผิวโลก (Energy Interaction with Earth Surface Features)
เมื่อพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านชั้นบรรยากาศมาตกกระทบพื้นผิวโลกจะเกิดปฏิกิริยา
3 อย่างคือ
การสะท้อนพลังงาน
: Reflection
= ER (l )
การดูดซับพลังงาน : Absorption
= EA (l)
การส่งผ่านพลังงาน : Transmission
= E T (l)
อันเป็นปรากฏการณ์สำคัญในการสำรวจข้อมูลระยะไกลของวัตถุบนพื้นผิวโลก
ซึ่งเขียนเป็นสมการความสมดุลย์พลังงาน (Energy Balance Equation) ได้ดังนี้
EI (l) = ER (l ) + EA (l) + E T (l)
เมื่อ EI
(l) = พลังงานตกกระทบ (Incident
Energy) ซึ่งได้รับจากแหล่งพลังงาน
สัดส่วนของการดูดซับ การส่งผ่าน การสะท้อนพลังงานจะแตกต่างกันตามชนิดของวัตถุ
ซึ่งทำให้สามารถแยกชนิดของวัตถุบนภาพที่บันทึกไว้ได้ นอกจากนี้ในวัตถุเดียวกันสัดส่วนของการเกิดปฏิกิริยาทั้งสามจะแตกต่างกันตามความยาวของช่วงคลื่นที่ตกกระทบอีกด้วย
วัตถุสองชนิดอาจจะไม่แตกต่างกันในช่วงคลื่นหนึ่ง แต่จะสามารถแยกจากกันได้ในอีกช่วงคลื่นหนึ่ง
ในช่วงคลื่นส่วนสายตามองเห็น (Visible Portion) ความแตกต่างกันทางด้านคลื่นรังสี
(Spectral)
ของวัตถุจะแสดงให้เห็นในรูปของสีต่างๆ เช่น การที่เราเห็นวัตถุเป็นสีเขียว
เนื่องจากวัตถุนั้นสะท้อนพลังงานในช่วงคลื่นสีเขียวมาก
ภาพปฏิกิริยาของพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ากับพื้นผิวโลก
อ้างอิงแหล่งที่มาข้อมูล/ภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น