11/11/58

การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ

            การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ ประกอบด้วย 2 วิธี ดังนี้

การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศด้วยสายตา              
              ก่อนที่จะทำความเข้าใจกับการแปลความหมายภาพถ่ายดาวเทียม ผู้ฝึกขั้นต้นน่าจะทำการแปลหรือตีความจากภาพถ่ายทางอากาศก่อน เพื่อให้เกิดความชำนาญ ในการวิเคราะห์ตีความข้อมูลจากภาพถ่ายทางอากาศไม่มีความซ้ำซ้อนมากนักเมื่อเทียบกับภาพถ่ายจากดาวเทียม  แต่ทั้งนี้ต้องใช้ข้อควรจำ  รายละเอียด  ความชำนาญ  และความรู้ภูมิหลังเข้าช่วยด้วย  ซึ่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการแปลตีความมีดังนี้

หลักในการแปลตีความ
                ในการแปลตีความ  เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดควรดำเนินงานตามลำดับ  ดังนี้
                1) แปลตีความจากสิ่งที่เห็นชัด  เข้าใจและวินิจฉัยง่ายที่สุดไปหายากที่สุด  (Easy  to Difficulty) ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกท้อแท้ เบื่อหน่าย สำหรับการแปลตีความสิ่งที่ยากและซ้ำซ้อนควรทำทีหลัง
                2) แปลตีความจากสิ่งที่คุ้นเคยและพบเห็นในชีวิตประจำวันหรือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว  ทั้งนี้ขึ้นอยู่ประสบการณ์  และ ความรู้พื้นฐานของผู้แปลตีความ
                3) แปลตีความจากเรื่องทั่วๆไปเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วพิจารณาแยกรายละเอียดในแต่ละประเภท ซึ่งเราเรียกว่าการแปลตีความจากหยาบไปหาละเอียด
                4) แปลตีความเรียงลำดับเป็นระบบให้ครบวงจร  (Compete  Cycle)  เป็นแต่ละประเภทๆ ไม่ควรสลับไปสลับมาปะปนกัน เพราะจะมีผลทำให้รายละเอียดของข้อมูลไม่ต่อเนื่อง  หรือบางครั้งอาจจะหายไปได้
                5) แปลตีความโดยใช้ปัจจัยหรือข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน  (Date  Associative)  อันเป็นพื้นฐานที่จะวินิจฉัยข้อมูลได้อย่างถูกต้อง

ปัจจัยในการพิจารณาแปลตีความ
                นอกจากการแปลตีความดังกล่าวข้างต้นแล้ว  การแปลตีความยังขึ้นอยู่กับความละเอียดละออและความคุ้นเคยถึงการปรากฎของรายละเอียดของภูมิประเทศในภาพถ่ายซึ่งจะอาศัยปัจจัยต่างๆช่วยในการวินิจฉัย  พิสูจน์ทราบ  เพื่อจะบอกถึงรายละเอียดของสิ่งของนั้นๆปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยมีอยู่  5  ประการ  (บางครั้งเรียกว่าหลัก  5’s  ในการแปลตีความ)  ประกอบกัน
                1) ขนาด  (Size)  ขนาดของวัตถุหรือสิ่งก่อสร้างพื้นที่ต่างๆที่เราไม่ทราบนั้นสามารถที่จะพิจารณาได้จากมาตราส่วนของภาพถ่าย  หรืออาจนำมาเปรียบเทียบกับวัตถุที่เราทราบขนาดแล้วหรือทราบขนาดอย่างหยาบๆก็ได้  ตัวอย่างเช่น  ในบริเวณที่มีสิ่งก่อสร้างเล็กๆ  ติดๆกันอยู่ในพื้นที่สิ่งที่เรามองเห็นเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆนั้นก็น่าจะเป็นบ้าน  ที่พักอาศัยของประชาชน  ส่วนสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่หรือยาวๆอาจตีความได้ว่าเป็นศูนย์การค้าหรือสถานที่ราชการ  เป็นต้น
                2) รูปร่าง  รูปแบบ (Shape,  Pattern)   รูปร่างของวัตถุและสิ่งต่างๆที่ปรากฏในภาพถ่าย  จะมีเอกลักษณ์เฉพาะของมันเอง  โดยเฉพาะที่เราสามารถแปลตีความได้  เช่น  สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมามักจะปรากฏออกมาในแนวตรงและแนวโค้งที่ราบเรียบ   แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างจะมีแนวหรือรูปร่างที่ไม่แน่นอน  สำหรับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นได้แก่  ทางหลวงแผ่นดิน  ทางรถไฟ  สะพาน  คลอง  และสิ่งก่อสร้างต่างๆซึ่งเราอาจเปรียบเทียบภาพที่เป็นแนวสม่ำเสมอหรือมีระเบียบ  กฎเกณฑ์  (ซึ่งเรียกว่า  Regular  shape)  กับภาพที่ไม่มีกฎเกณฑ์  (ซึ่งเรียกว่า  Irregular  shape)  ของสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นซึ่งได้แก่ แม่น้ำ  ลำธาร  และแนวป่า  อย่างเห็นได้ชัด
                นอกจากนี้รูปร่างยังเป็นตัวช่วยให้สามารถแปลความหมายของรายละเอียดข้างเคียงได้อย่งดีเช่น ห้วย มีลักษณะคดเคี้ยวค่อนข้างกว้าง และโค้งของลำน้ำนั้นมีลักษณะเปลี่ยนค่อนข้างช้า  จะทำให้ผู้แปลตีความทราบว่าลักษณะภูมิประเทศบริเวณใกล้เคียง  มีความลาดชันไม่มากหุบเขาจะมีขนาดกว้าง และถ้า
ลำธารมีลักษณะเป็นเส้นตรงจะเป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ว่าน้ำในลำธารจะไหลเชี่ยวและแรง ถ้าลักษณะภูมิประเทศใกล้เคียงเป็นภูเขาหรือหุบเขาแคบในช่องลึก  ทิศทางการไหลของน้ำในลำธารจะสังเกตได้ดังนี้ คือ  มุมของตัววี  (V)  ซึ่งเกิดในบริเวณที่ต่อกับระหว่างลำห้วยใหญ่และเล็กจะชี้ทิศทางที่น้ำไหลไป ถ้าหากมีเกาะหรือหาดทรายตามปกติจะมีรูปร่างเป็นหยดน้ำเป็นรูปวงกลม สี่เหลี่ยม เส้นตรง  เส้นโค้ง  เราสามารถนำมาใช้ในการพิจารณาตีความได้  เช่น  รถยนต์จะมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมพื้นผ้า  ถังน้ำมันจะมีรูปร่างเป็นวงกลม
                3) เงา  (Shadow)  ในภาพถ่ายทางอากาศนั้นเงานับว่ามีประโยชน์ในการแปลตีความ  เพราะจะเป็นปัจจัยเสริมให้เราได้ทราบถึงวัตถุนั้นๆได้  เช่น  เงาของตึก  ถังน้ำประปา  หรือปล่องไฟเนื่องจากภาพถ่ายทางอากาศที่เห็นนั้นเป็นมุมมองจากเบื้องบน  ดังนั้นภาพของถังน้ำประปาและปล่องไฟจะปรากฏเป็นวงกลมหรือจุดเท่านั้น  แต่พอมีเงาปรากฏขึ้นให้เห็นจะช่วยให้เราสามารถแปลตีความได้ถูกต้องแม่นยำขึ้น  และความยาวของเงาที่ปรากฏนั้นสามารถทำให้เราคำนวณหาความสูงของสิ่งก่อสร้างได้อีกด้วย
                4) ความเข้มของสี  (Shade,  Tone  or  Texture)  ความเข้มของสีที่ปรากฏในภาพถ่ายถ้าเป็นภาพถ่ายด้วยฟิล์มสีจะพิจารณาได้ง่าย  แต่โดยทั่วไปภาพถ่ายทางอากาศมักจะใช้ฟิล์มขาวดำรายละเอียดของภาพจึงปรากฏออกมาเป็นความเข้มของสีเทา  ซึ่งเริ่มตั้งแต่สีขาวจนถึงสีดำ  ความเข้มของภาพนี้เองที่เราเรียกว่าโทนของสี  (Tone)  ซึ่งโทนของสีขึ้นอยู่กับความหยาบละเอียดของเนื้อภาพ  (Texture)  อีกด้วย  นอกจากนี้จะขึ้นอยู่กับปริมาณของแสงสว่างที่สะท้อนจากวัตถุรายละเอียดต่างๆมายังกล้องถ่ายภาพ  เช่น  รายละเอียดที่สะท้อนมากก็มีสีขาวหรือจาง  ส่วนรายละเอียดที่สะท้อนน้อยจะมีสีดำหรือเกือบดำ  ปริมาณของการสะท้อนแสงขึ้นอยู่กับชนิดของรายละเอียดและมุมสะท้อนแสง  ดังนั้น สีของรายละเอียดเดียวกันที่ปรากฏบนภาพถ่ายสองภาพอาจมีสีต่างกันก็ได้  หลักที่ใช้ในการประกอบพิจารณา  คือ วัตถุที่มีผิวเรียบสะท้อนแสงได้ดีกว่าวัตถุที่มีผิวหยาบ  ภาพจะมีความสว่างกว่าวัตถุที่มีผิวหยาบทั้งๆที่มีสีเดียวกันซึ่งช่วยทำให้ทราบถึงชนิดของวัตถุอย่างกว้างๆ  เช่น  เครื่องบินที่มีสีขาวจอดบนลานบินผิวคอนกรีตจะและเห็นแตกต่างกันได้ชัด  น้ำใสสะท้อนแสงไม่ดีจึงมีสีเกือบดำ  แต่ถ้าน้ำขุ่นจะสะท้อนแสงได้ดีกว่าจะปรากฏเป็นสีเทา  ถนนที่เป็นดินลูกรังจะปรากฏว่าเป็นสีขาวกว่าถนนที่ลาดพื้นเสร็จแล้ว  เป็นต้น  ถ้าเราได้สนใจและระมัดระวังในเรื่องการแปลโดยคำนึงถึงความผันแปรดังกล่าวแล้ว  เรื่องของ  Tone  และ  Texture  จะถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
                5) สิ่งแวดล้อม  (Surrounding  Objects)  ในการแปลตีความภาพถ่ายบางครั้งการตัดสินใจแยกแยะวัตถุทำได้ยากเนื่องจากมีความคล้ายคลึงกัน  ดังนั้นสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆภาพหรือวัตถุที่เราต้องการพิจาราณานั้นอาจเป็นตัวช่วยในการแปลความหมายได้  ในขณะเดียวกันผู้แปลต้องมีความเข้าใจถึงรูปแบบและระบบการจัดการ  ตัวอย่างเช่น  สิ่งก่อสร้างใหญ่ๆที่มักจะตั้งอยู่ข้างทางรถไฟก็คือโรงงานอุตสาหกรรมหรือโกดังเก็บสินค้า  โรงเรียนก็มักจะมีสนามฟุตบอลอยู่ด้วย  อาคารของทหารมักจะปรากฏเสาธง  ที่จอดรถ  เส้นทางเข้าออก  ป้อมยามรักษาการณ์  สิ่งเหล่านี้จะบอกให้ทราบว่าคืออาคารกองบังคับการทหาร เป็นต้น

การเห็นแบบทรวดทรง  (Stereovision)
                ภาพถ่ายทางอากาศในแนวดิ่งจะไม่ปรากฏความต่างระดับคือจะมีลักษณะแบนราบไม่เห็นทรวดทรงซึ่งเรียกว่า  Stereoscopic  Vision  หรือเรียกง่ายๆว่า  Stereovision  คือจะเห็นทั้งทางยาว  ทางกว้าง  และทางลึก  (ระยะทาง)  ในเวลาเดียวกัน  ซึ่งจะทำให้เห็นได้ก็หมายความว่าเราจะต้องเห็นภาพเดียวกันจากสองตำแหน่งที่ต่างกัน   เกือบทุกคนสามารถมองเห็นภาพทรวดทรงหรือภาพสามมิติได้  นั้นคือภาพอาจมองเห็นสองครั้ง  จากดวงตาข้างซ้ายข้างหนึ่งและดวงตาข้างขวาอีกข้างหนึ่งแล้วสมองจะเป็นผู้นำภาพที่เห็นจากดวงตาทั้ง  ข้างมารวมกัน  แล้วแปลความหมายออกมาในรูปของความลึกหรือระยะทางได้   สาเหตุที่มนุษย์เห็นทางลึกได้นั้น  เพราะ
                1. ผลของระยะห่างศูนย์กลางแก้วตาทั้งสอง (Interpupillary Distance) ระยะดังกล่าวย่อมแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคล แต่ความแตกต่างจะอยู่ในระยะ 2.5 นิ้ว ถึง 3 นิ้ว
                2. ดวงตาทั้งสองแลเห็นวัตถุในมุมที่ต่างกัน บุคคลที่สายตาดีจะแลเห็นภาพทางลึกได้ในช่วงระยะไม่เกิน  1,800 ฟุต  เมื่อเลยระยะนี้ขึ้นไป  เส้นแนวการเห็นจะมีลักษณะเกือบขนานกันทำให้ภาพแต่ละภาพที่ดวงตาแต่ละข้างรับมาแล้วส่งผ่านไปยังสมองตามวิถีทางจักษุประสาท  มีลักษณะเกือบไม่แตกต่างกันเลยจึงไม่อาจเห็นทางลึกได้  ถ้าหากจะต้องการให้เห็นทางลึกได้ในระยะที่เกินกว่า 1,800  ฟุต  แล้วมนุษย์ต้องอาศัยเครื่องมือทางจักษุประสาทช่วยเช่น  กล้องส่องสองตา  หรือกล้องส่องทางไกลที่สร้างขึ้นโดยทำให้เลนส์ทั้งสองแยกห่างออกจากกันให้มากกว่าระยะศูนย์กลางแก้วตาทั้งสองของมนุษย์


ในการถ่ายภาพทางอากาศนั้นในแต่ละแนวบินจะถ่ายภาพถ่ายซ้อนกันอยู่ประมาณ  56 %  นั้นคือในภาพถ่ายแผนที่  จะมีภาพในแผนที่  ติดอยู่  56 %  เราเรียกว่า  ภาพซ้อน  (Overlap)  นอกจากนี้การถ่ายภาพในบริเวณใดบริเวณหนึ่งที่กว้างมากๆนั้น  การถ่ายภาพในแนวบินที่  อาจได้ภาพไม่หมด  ก็อาจถ่ายในแนวบินที่  ใหม่แนวบินที่ถ่ายภาพใหม่นี้จะต้องบินขนานกับแนวบินที่  และต้องมีการถ่ายภาพซ้อนกันด้วย  ภาพซ้อนในแนวบินนี้เรียกว่า  ภาพซ้อนด้านข้าง  (Side  lap)  โดยทั่วไปแล้วภาพจะซ้อนทับกันอยู่ระหว่าง  15-20%  ดังรูป



ภาพถ่ายที่จะนำมาดูทรวดทรง 3 มิติต้องเป็นภาพถ่ายคู่ทรวดทรง (Stereo pair) ซึ่งเป็นภาพที่ถ่าย   
                 เป็นแผ่นๆต่อเนื่องกันซึ่งแต่ละแผ่นต้องมีส่วนภาพถ่ายทับหรือซ้อนกัน


ภาพแสดงตำแหน่งเลนส์กล้องเคลื่อนที่ไปจากการถ่ายครั้งที่ และ ครั้งที่  2



             ตามรูปจะเห็นได้ว่ากล้องได้เคลื่อนที่จากการถ่ายครั้งที่ 1 ไปอยู่ที่การถ่ายครั้งที่ 2 ภาพที่ได้จะเป็นภาพซ้อนหรือทับกัน เราเปรียบเทียบเสมือนตากล้องเอามาแทนตาของเรา ระยะห่างระหว่างการถ่ายครั้งที่ และครั้งที่  2  ใช้แทนระยะห่างศูนย์กลางแก้วตาทั้งสองของเราจึงใช้ภาพแทนมาแทนตาเราและก็เห็นในลักษณะเดียวกัน การมองเห็นทรวดทรงนั้นต้องมองดูด้วยตาสองตาจึงจะเห็นทรวดทรงในภาพถ่ายได้  ถ้ามองภาพด้วยตาข้างเดียวจะเห็นทรวดทรงไม่ได้เพราะเห็นเพียงมุมในตำแหน่งเดียว การมองเห็นทรวดทรงของภาพเราสามารถดูด้วยตาเปล่าทั้งข้างได้โดยเราจะต้องมองดูภาพวัตถุจากภาพถ่ายที่ Overlap  กัน  คือตาข้างหนึ่งมองที่แผ่นที่หนึ่งและอีกข้างหนึ่งมองที่อีกแผ่นหนึ่งบนวัตถุชิ้นเดียวกัน  วิธีการนี้ต้องอาศัยการฝึกให้เกิดทักษะในการมองภาพดังกล่าว  แต่จะง่ายขึ้นมากถ้าหากเราใช้กล้องเพื่อการดูภาพทรวดทรงช่วย  กล้องที่ช่วยให้มองเห็นภาพดังกล่าวเรียกว่า  สเตอเรโอสโคป  (Stereoscope)  ซึ่งจะขอพูดเพียง  ชนิดเท่านั้นคือ
                1.  Pocket Stereoscope เป็นกล้องสเตอเรโอสโคปแบบกระเป๋า เหมาะที่พกพาติดตัวไปที่ต่างๆได้ราคาไม่แพงนัก แต่ก็มีข้อจำกัดคือเรื่องของกำลังขยาย และระยะระหว่างจุดที่เหมือนกันในภาพถ่ายคู่จำกัดให้มีระยะห่างประมาณเท่ากับระยะฐานตาของผู้มอง กล้องชนิดนี้ประกอบด้วยแว่นขยายติดอยู่บนกรอบโลหะและมีขาตั้งสำหรับถ่างออกหรือพับเก็บได้
                2.  Mirror  Stereoscope  เป็นกล้องสเตอเรโฮสโคปที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ขนาดใหญ่ หนัก เสียหายง่าย  ราคาแพง  ประกอบด้วยเลนส์มองภาพและเลนส์ขยาย ชิ้น ติดอยู่กับกรอบโลหะขาตั้งแท่นสเตอเรโอสโคป  ชนิดนี้มีขนาดใหญ่กว่าสเตอเรโอสโคปแบบกระเป๋า ถอดพับเก็บในหีบเก็บได้มีประสิทธิภาพสูง  นอกจากดูภาพ  3  มิติแล้วสามารถหาค่าความสูงของวัตถุในภาพถ่ายได้โดยใช้ประกอบกับ  Parallax  bar  และ  Stereo  plotting  สำหรับการเขียนเส้นชั้นความสูง (Contour) โดยทั่วไปนิยมใช้ในงานที่ละเอียด

วิธีจัดภาพเพื่อดูทรวดทรง
                1) จัดภาพให้เรียงตามลำดับก่อนหลังตามแนวการบิน  โดยให้เงาของวัตถุหันเข้าหาตัวผู้ดู
                2) วางภาพถ่ายคู่ทรวดทรงลงบนพื้นราบโดยให้รายละเอียดบนแผ่นทื่ 1 ตรงกับ รายละเอียดในแผ่นที่ 2 (บริเวณที่เป็นภาพซ้อนกัน)
                3) กางขากล้องสเตอเรโอสโคปลงบนภาพคู่โดยให้เลนส์ทางซ้ายมืออยู่บนภาพแผ่นซ้ายและเลนส์ขวามืออยู่บนภาพแผ่นขวา
                4)  ค่อยๆดึงภาพทั้งสองออกจากกันตามแนวการบิน จนมองเห็นรายละเอียดภาพที่ปรากฏใน  overlap  ของภาพด้านซ้ายมือปรากฏโดยตรงปรากฏด้านซ้าย  และรายละเอียดที่ปรากฏใน  overlap  ของภาพทางด้านขวามือปรากฏโดยตรงภายใต้เลนส์ด้านขวามือ
                5) จากภาพถ่ายและกล้องสเตอเรโอสโคปในตำแหน่งนี้  ภาพ  มิติน่าจะเกิดให้เห็นได้  อาจมีสิ่งเล็กน้อยที่ต้องกระทำ  เช่น  การจัดภาพ  หรือปรับตำแหน่งของสเตอเรโอสโคป  เพื่อให้เหมาะสมกับตาแต่ละคน  เป็นต้น  จากนี้เนินเขาจะปรากฏสูงขึ้นมาและหุบเขาก็จะมองดูลึกลงไปเหมือนกับภาพที่เรามองเห็นจากบนเครื่องบินนั้นเอง
                
              ข้อควรระวัง ที่อาจทำให้เกิดภาพทรวดทรงผิด ซึ่งเกิดขึ้นจากการวางภาพไม่เรียงลำดับก่อนหลัง จะทำให้ภาพที่ปรากฏผิดไปจาภาพที่เป็นจริง  เช่น ภาพภูเขา  ส่วนที่สูงกลับปรากฏเป็นที่ต่ำส่วนที่ต่ำปรากฏเป็นที่สูง  เป็นต้น  นอกจากนี้ก็มีการมองดูภาพคู่ทรวดทรง  (Stereo pair) ไม่เกิดทรวดทรง ทั้งนี้เพราะวางภาพไม่เรียงตามแนวการบินถ่ายภาพ หรือการใช้ภาพแผ่นเดียวกันมาเป็นภาพคู่ทรวดทรงในภาพคู่หนึ่งจะดูให้เป็นภาพทรวดทรงได้เฉพาะบริเวณที่มีส่วน Overlap และ Side lap เท่านั้น
                การแปลความหมายจากภาพถ่ายทางอากาศจะง่ายและถูกต้องมากยิ่งขึ้นหากได้นำภาพ มิติเข้ามาช่วยด้วย  อย่างไรก็ตามหลักของ  5’s  ซึ่งได้แก่  Size,  Shape,  Shadow  Shade  และ  Surrounding  Objects  จำเป็นต้องนำมาใช้ด้วย  ซึ่งจะทำให้ภาพที่ดูนั้นมีทั้งความกว้าง  ยาว  และลึกเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นนั้นเอง

การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศด้วยระบบคอมพิวเตอร์
 วิธีการจำแนกข้อมูลดาวเทียมด้วยระบบคอมพิวเตอร์แบ่งออกได้ 2 วิธี ได้แก่
                    1
. การจำแนกประเภทข้อมูลแบบกำกับดูแล (SUPERVISED CLASSIFICATION) เป็นวิธีการจำแนกข้อมูลภาพซึ่งจะต้องประกอบด้วยพื้นที่ฝึก (TRAINING AREAS) การจำแนกประเภทของข้อมูลเบื้องต้น โดยการคัดเลือกเกณฑ์ของการจำแนกประเภทข้อมูล และกำหนดสถิติของของประเภทจำแนกในข้อมูล จากนั้นก็จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งภาพ และรวบรวมกลุ่มชั้นประเภทจำแนกสถิติคล้ายกันเข้าด้วยกัน เพื่อจัดลำดับขั้นข้อมูลสุดท้าย นอกจากนี้แล้วก็จะมีการวิเคราะห์การจำแนกประเภทข้อมูลลำดับสุดท้าย หรือตกแต่งข้อมูลหลังจากการจำแนกประเภทข้อมูล (POST-CLASSIFICATION)
                    2. การจำแนกประเภทข้อมูลแบบไม่กำกับดูแล (UNSUPERVISED CLASSIFICATION)
เป็นวิธีการจำแนกประเภทข้อมูลที่ผู้วิเคราะห์ไม่ต้องกำหนดพื้นที่ฝึกของข้อมูลแต่ละประเภทให้กับคอมพิวเตอร์ มักจะใช้ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลเพียงพอในพื้นที่ที่การจำแนก หรือผู้ปฏิบัติไม่มีความรู้ความเคยชินในพื้นที่ที่ศึกษา วิธีการนี้สามารถทำได้โดยการสุ่มตัวอย่างแบบคละ แล้วจึงนำกลุ่มข้อมูลดังกล่าวมาแบ่งเป็นประเภทต่างๆ


คุณสมบัติของนักแปลตีความ
                ในการแปลตีความต้องอาศัยความรู้หลายสาขา (Multidisciplinary) มาประกอบเพื่อวินิจฉัยสิ่งที่ถูกต้อง การที่จะแปลตีความนั้นโดยทั่วไปนักแปลตีความที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้
                1) ความรู้ภูมิหลัง  (Background) การวินิจฉัยหรือแปลตีความพื้นที่ใดก็ตาม หากผู้แปลตีความมีความรู้และประสบการณ์ในด้านนั้นอยู่แล้ว ย่อมจะได้เปรียบกว่าบุคคลที่มาจากสาขาอื่น เช่น ผู้แปลที่มาจากสาขาเกษตรโดยทั่วไปแล้วจะแปลตีความในพื้นที่เกษตรได้ดีกว่าบุคคลที่มาจากสาขาอื่น เนื่องจากมีความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับธรรมชาติ และลักษณะของพื้นที่มาก่อนนั้นเอง
 2) ความสามารถทางสายตา  (Visual  Acuity)  การแปลตีความจำเป็นต้องอาศัยความสามารถทางสายตาของผู้แปลเป็นองค์ประกอบด้วย เนื่องจากการวินิจฉัยจากภาพจำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดที่ปรากฏในภาพ ลักษณะของเนื้อภาพ (Texture)  ความเข้ม (Tone)  ผู้ที่มีสายตาดีย่อมสามารถจำแนกพื้นที่ได้ดีกว่า
               3) ความสามารถของจิตใจ  (Mental  Acuity) ความสามารถของจิตใจมีความสัมพันธ์กับภูมิหลัง  ประสบการณ์  ความรักในงาน  การเป็นคนใจเย็น  รอบคอบ  ชอบสังเกต  จะเป็นผู้ที่มีความสามารถแปลภาพได้ดี
              4) ประสบการณ์  (Experience)  ผู้แปลตีความที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของบริเวณที่ทำการแปลภาพถ่าย จะสามารถวินิจฉัยสิ่งที่ปรากฏในภาพได้ดีกว่าผู้ที่ไม่มีประสบการณ์  ซึ่งประสบการณ์ดังกล่าวสามารถสั่งสมได้จากการศึกษา การเดินทาง การท่องเที่ยว การชอบสังเกต และจดจำ ตลอดทั้งต้องมีความสนใจและมีนิสัยชอบอีกด้วย ความผิดพลาดจากการแปลหากนำมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุในความผิดพลาดแล้ว จะทำให้ผู้แปลสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวินิจฉัยข้อมูลในพื้นที่ ให้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้นด้วย
              


อ้างอิงแหล่งที่มาข้อมูล/ภาพ
ธวัช  บุรีรักษ์  และบัญชา  คูเจริญไพบูรณ์.  การแปลความหมายในแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ.
อักษรวัฒนา.  กรุงเทพ.




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น