12/11/58

รายชื่อสมาชิกผู้จัดทำ


  นายเรืองฤทธิ์   สำรอง  รหัสนิสิต 55670103 กลุ่ม 3301





 นายชนิตพล   กองทอง   รหัสนิสิต 55670034  กลุ่ม 3303




 นายธีรวัต   เทียนไชย   รหัสนิสิต 55670162  กลุ่ม 3303




นางสาวองค์อร   โกศลศักดาสกุล   รหัสนิสิต 55670032  กลุ่ม 3301




นางสาวพรพรรณ   จันทร์นวล   รหัสนิสิต 55670102  กลุ่ม 3303





คลิปวีดีโอและเว็บไซต์ที่น่าสนใจ

ตัวอย่างคลิปวีดีโอที่เกี่ยวข้อง















เว็บไซต์อื่นๆที่น่าสนใจ





ประโยชน์ของการรับรู้จากระยะไกล Remote Sensing

การรับรู้จากระยะไกลมีประโยชน์ในด้านต่างๆ  ดังนี้
1.) การพยากรณ์อากาศ  กรมอุตุนิยมวิทยาใช้ข้อมูลจากดาวเทียมเพื่อพยากรณ์ปริมาณและการกระจายของฝนในแต่ละวัน  โดยใช้ข้อมูลดาวเทียมที่โคจรรอบโลกด้วยความเร็วเท่ากับการหมุนของโลกในแนวตะวันออก-ตะวันตก  ทำให้คล้ายกับเป็นดาวเทียมคงที่  (Geostationary)  เช่น  ดาวเทียม  GMS  (Geostationary  Meteorological  Satellite)  ส่วนดาวเทียมโนอา  (NOAA)  ที่โคจรรอบโลกวันละ  2  ครั้ง  ในแนวเหนือ - ใต้  ทำให้ทราบอัตราความเร็ว  ทิศทาง  และความรุนแรงของพายุที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าหรือพยากรณ์ความแห้งแล้งที่จะเกิดขึ้นได้

2.) สำรวจการใช้ประโยชน์ที่ดิน  เนื่องจากข้อมูลจากดาวเทียมมีรายละเอียดภาคพื้นดิน  และช่วงเวลาการบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกัน  จึงใช้ประโยชน์ในการทำแผนที่การใช้ประโยชน์จากที่ดินและการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี  เช่น  พื้นที่ป่าไม้ถูกตัดทำลาย  แหล่งน้ำที่เกิดขึ้นใหม่  หรือชุมชนที่สร้างขึ้นใหม่  เป็นต้น  ในบางกรณีข้อมูลดาวเทียม  ใช้จำแนกชนิดป่าไม้  พืชเกษตร  ทำให้ทราบได้ว่าพื้นที่ป่าไม้เป็นป่าไม้แน่นทึบ  โปร่ง  หรือป่าถูกทำลาย  พืชเกษตรก็สามารถแยกเป็นประเภทและความสมบูรณ์ของพืชได้  เช่น  ข้าว  มันสำปะหลัง  อ้อย  สับปะรด  ยางพารา  ปาล์มน้ำมัน  เป็นต้น  นอกจากนี้ยังสามารถจำแนกการเจริญเติบโตได้อีกด้วย

3.) การสำรวจทรัพยากรดิน  ข้อมูลจากดาวเทียมและรูปถ่ายทางอากาศเป็นอุปกรณ์สำคัญในการสำรวจและจำแนกดิน  ทำให้ทราบถึงชนิดการแพร่กระจาย  และความอุดมสมบูรณ์ของดิน  จึงจัดลำดับความเหมาะสมของดินได้  เช่น  ความเหมาะสมสำหรับการปลูกพืชแต่ละชนิด  ความเหมาะสมด้านวิศวกรรม  เป็นต้น

4.)  การสำรวจด้านธรณีวิทยา  และธรณีสัณฐานวิทยา  เนื่องจากข้อมูลดาวเทียมครอบคลุมพื้นที่กว้าง  มีรายละเอียดภาคพื้นดินสูงและยังมีหลายช่วงคลื่นแสง  จึงเป็นประโยชน์อย่างมากที่ใช้ในการสำรวจและทำแผนที่ธรณีวิทยา  ธรณีสัณฐานวิทยา  แหล่งแร่  แหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ  และแหล่งน้ำใต้ดินได้เป็นอย่างดี  โดยการใช้ลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาช่วยทำให้การสำรวจและขุดเจาะเพื่อหาทรัพยากรใต้ดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  และลดค่าใช้จ่ายการสำรวจในภาคสนามลงได้เป็นอันมาก

5.)  การเตือนภัยจากธรรมชาติ  ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อย  ได้แก่  อุทกภัยแผ่นดินถล่ม  ภัยแล้งวาตภัย  ไฟป่า  ภัยทางทะเล  ภัยธรรมชาติต่างๆ  เหล่านี้  เมื่อนำเอาข้อมูลจากดาวเทียมร่วมกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์  และระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลกจะเป็นประโยชน์ในการเตือนภัยก่อนที่จะเกิดภัย  ขณะเกิดภัย  และหลังเกิดภัยธรรมชาตินอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว 

ประโยชน์ของการรับรู้จากระยะไกล  ยังใช้ในการสำรวจด้านอื่นๆอีก  เช่น  ด้านสิ่งแวดล้อม  ด้านการจราจร  ด้านการทหาร  ด้านสาธารณสุข  เป็นต้น


สรุปประโยชน์ของการรับรู้จากระยะไกล REMOTE SENSING
                 การใช้เทคนิค REMOTE SENSING ช่วยให้การตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง ทำได้อย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องออกเก็บข้อมูลในพื้นที่จริง และยังให้ความถูกต้องในระดับที่ยอมรับได้ นอกจากนี้บริเวณซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่สามารถแสดงผลออกทางจอภาพ และจัดทำแผนที่แสดงการเปลี่ยนแปลงไปใช้งานได้ทันที ซึ่งเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมาก ทำให้การศึกษาเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่น ทรัพยากร ปลูกสร้าง ฯลฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น



อ้างอิงแหล่งที่มาข้อมูล/ภาพ


11/11/58

การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ

            การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ ประกอบด้วย 2 วิธี ดังนี้

การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศด้วยสายตา              
              ก่อนที่จะทำความเข้าใจกับการแปลความหมายภาพถ่ายดาวเทียม ผู้ฝึกขั้นต้นน่าจะทำการแปลหรือตีความจากภาพถ่ายทางอากาศก่อน เพื่อให้เกิดความชำนาญ ในการวิเคราะห์ตีความข้อมูลจากภาพถ่ายทางอากาศไม่มีความซ้ำซ้อนมากนักเมื่อเทียบกับภาพถ่ายจากดาวเทียม  แต่ทั้งนี้ต้องใช้ข้อควรจำ  รายละเอียด  ความชำนาญ  และความรู้ภูมิหลังเข้าช่วยด้วย  ซึ่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการแปลตีความมีดังนี้

หลักในการแปลตีความ
                ในการแปลตีความ  เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดควรดำเนินงานตามลำดับ  ดังนี้
                1) แปลตีความจากสิ่งที่เห็นชัด  เข้าใจและวินิจฉัยง่ายที่สุดไปหายากที่สุด  (Easy  to Difficulty) ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกท้อแท้ เบื่อหน่าย สำหรับการแปลตีความสิ่งที่ยากและซ้ำซ้อนควรทำทีหลัง
                2) แปลตีความจากสิ่งที่คุ้นเคยและพบเห็นในชีวิตประจำวันหรือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว  ทั้งนี้ขึ้นอยู่ประสบการณ์  และ ความรู้พื้นฐานของผู้แปลตีความ
                3) แปลตีความจากเรื่องทั่วๆไปเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วพิจารณาแยกรายละเอียดในแต่ละประเภท ซึ่งเราเรียกว่าการแปลตีความจากหยาบไปหาละเอียด
                4) แปลตีความเรียงลำดับเป็นระบบให้ครบวงจร  (Compete  Cycle)  เป็นแต่ละประเภทๆ ไม่ควรสลับไปสลับมาปะปนกัน เพราะจะมีผลทำให้รายละเอียดของข้อมูลไม่ต่อเนื่อง  หรือบางครั้งอาจจะหายไปได้
                5) แปลตีความโดยใช้ปัจจัยหรือข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน  (Date  Associative)  อันเป็นพื้นฐานที่จะวินิจฉัยข้อมูลได้อย่างถูกต้อง

ปัจจัยในการพิจารณาแปลตีความ
                นอกจากการแปลตีความดังกล่าวข้างต้นแล้ว  การแปลตีความยังขึ้นอยู่กับความละเอียดละออและความคุ้นเคยถึงการปรากฎของรายละเอียดของภูมิประเทศในภาพถ่ายซึ่งจะอาศัยปัจจัยต่างๆช่วยในการวินิจฉัย  พิสูจน์ทราบ  เพื่อจะบอกถึงรายละเอียดของสิ่งของนั้นๆปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยมีอยู่  5  ประการ  (บางครั้งเรียกว่าหลัก  5’s  ในการแปลตีความ)  ประกอบกัน
                1) ขนาด  (Size)  ขนาดของวัตถุหรือสิ่งก่อสร้างพื้นที่ต่างๆที่เราไม่ทราบนั้นสามารถที่จะพิจารณาได้จากมาตราส่วนของภาพถ่าย  หรืออาจนำมาเปรียบเทียบกับวัตถุที่เราทราบขนาดแล้วหรือทราบขนาดอย่างหยาบๆก็ได้  ตัวอย่างเช่น  ในบริเวณที่มีสิ่งก่อสร้างเล็กๆ  ติดๆกันอยู่ในพื้นที่สิ่งที่เรามองเห็นเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆนั้นก็น่าจะเป็นบ้าน  ที่พักอาศัยของประชาชน  ส่วนสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่หรือยาวๆอาจตีความได้ว่าเป็นศูนย์การค้าหรือสถานที่ราชการ  เป็นต้น
                2) รูปร่าง  รูปแบบ (Shape,  Pattern)   รูปร่างของวัตถุและสิ่งต่างๆที่ปรากฏในภาพถ่าย  จะมีเอกลักษณ์เฉพาะของมันเอง  โดยเฉพาะที่เราสามารถแปลตีความได้  เช่น  สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมามักจะปรากฏออกมาในแนวตรงและแนวโค้งที่ราบเรียบ   แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างจะมีแนวหรือรูปร่างที่ไม่แน่นอน  สำหรับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นได้แก่  ทางหลวงแผ่นดิน  ทางรถไฟ  สะพาน  คลอง  และสิ่งก่อสร้างต่างๆซึ่งเราอาจเปรียบเทียบภาพที่เป็นแนวสม่ำเสมอหรือมีระเบียบ  กฎเกณฑ์  (ซึ่งเรียกว่า  Regular  shape)  กับภาพที่ไม่มีกฎเกณฑ์  (ซึ่งเรียกว่า  Irregular  shape)  ของสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นซึ่งได้แก่ แม่น้ำ  ลำธาร  และแนวป่า  อย่างเห็นได้ชัด
                นอกจากนี้รูปร่างยังเป็นตัวช่วยให้สามารถแปลความหมายของรายละเอียดข้างเคียงได้อย่งดีเช่น ห้วย มีลักษณะคดเคี้ยวค่อนข้างกว้าง และโค้งของลำน้ำนั้นมีลักษณะเปลี่ยนค่อนข้างช้า  จะทำให้ผู้แปลตีความทราบว่าลักษณะภูมิประเทศบริเวณใกล้เคียง  มีความลาดชันไม่มากหุบเขาจะมีขนาดกว้าง และถ้า
ลำธารมีลักษณะเป็นเส้นตรงจะเป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ว่าน้ำในลำธารจะไหลเชี่ยวและแรง ถ้าลักษณะภูมิประเทศใกล้เคียงเป็นภูเขาหรือหุบเขาแคบในช่องลึก  ทิศทางการไหลของน้ำในลำธารจะสังเกตได้ดังนี้ คือ  มุมของตัววี  (V)  ซึ่งเกิดในบริเวณที่ต่อกับระหว่างลำห้วยใหญ่และเล็กจะชี้ทิศทางที่น้ำไหลไป ถ้าหากมีเกาะหรือหาดทรายตามปกติจะมีรูปร่างเป็นหยดน้ำเป็นรูปวงกลม สี่เหลี่ยม เส้นตรง  เส้นโค้ง  เราสามารถนำมาใช้ในการพิจารณาตีความได้  เช่น  รถยนต์จะมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมพื้นผ้า  ถังน้ำมันจะมีรูปร่างเป็นวงกลม
                3) เงา  (Shadow)  ในภาพถ่ายทางอากาศนั้นเงานับว่ามีประโยชน์ในการแปลตีความ  เพราะจะเป็นปัจจัยเสริมให้เราได้ทราบถึงวัตถุนั้นๆได้  เช่น  เงาของตึก  ถังน้ำประปา  หรือปล่องไฟเนื่องจากภาพถ่ายทางอากาศที่เห็นนั้นเป็นมุมมองจากเบื้องบน  ดังนั้นภาพของถังน้ำประปาและปล่องไฟจะปรากฏเป็นวงกลมหรือจุดเท่านั้น  แต่พอมีเงาปรากฏขึ้นให้เห็นจะช่วยให้เราสามารถแปลตีความได้ถูกต้องแม่นยำขึ้น  และความยาวของเงาที่ปรากฏนั้นสามารถทำให้เราคำนวณหาความสูงของสิ่งก่อสร้างได้อีกด้วย
                4) ความเข้มของสี  (Shade,  Tone  or  Texture)  ความเข้มของสีที่ปรากฏในภาพถ่ายถ้าเป็นภาพถ่ายด้วยฟิล์มสีจะพิจารณาได้ง่าย  แต่โดยทั่วไปภาพถ่ายทางอากาศมักจะใช้ฟิล์มขาวดำรายละเอียดของภาพจึงปรากฏออกมาเป็นความเข้มของสีเทา  ซึ่งเริ่มตั้งแต่สีขาวจนถึงสีดำ  ความเข้มของภาพนี้เองที่เราเรียกว่าโทนของสี  (Tone)  ซึ่งโทนของสีขึ้นอยู่กับความหยาบละเอียดของเนื้อภาพ  (Texture)  อีกด้วย  นอกจากนี้จะขึ้นอยู่กับปริมาณของแสงสว่างที่สะท้อนจากวัตถุรายละเอียดต่างๆมายังกล้องถ่ายภาพ  เช่น  รายละเอียดที่สะท้อนมากก็มีสีขาวหรือจาง  ส่วนรายละเอียดที่สะท้อนน้อยจะมีสีดำหรือเกือบดำ  ปริมาณของการสะท้อนแสงขึ้นอยู่กับชนิดของรายละเอียดและมุมสะท้อนแสง  ดังนั้น สีของรายละเอียดเดียวกันที่ปรากฏบนภาพถ่ายสองภาพอาจมีสีต่างกันก็ได้  หลักที่ใช้ในการประกอบพิจารณา  คือ วัตถุที่มีผิวเรียบสะท้อนแสงได้ดีกว่าวัตถุที่มีผิวหยาบ  ภาพจะมีความสว่างกว่าวัตถุที่มีผิวหยาบทั้งๆที่มีสีเดียวกันซึ่งช่วยทำให้ทราบถึงชนิดของวัตถุอย่างกว้างๆ  เช่น  เครื่องบินที่มีสีขาวจอดบนลานบินผิวคอนกรีตจะและเห็นแตกต่างกันได้ชัด  น้ำใสสะท้อนแสงไม่ดีจึงมีสีเกือบดำ  แต่ถ้าน้ำขุ่นจะสะท้อนแสงได้ดีกว่าจะปรากฏเป็นสีเทา  ถนนที่เป็นดินลูกรังจะปรากฏว่าเป็นสีขาวกว่าถนนที่ลาดพื้นเสร็จแล้ว  เป็นต้น  ถ้าเราได้สนใจและระมัดระวังในเรื่องการแปลโดยคำนึงถึงความผันแปรดังกล่าวแล้ว  เรื่องของ  Tone  และ  Texture  จะถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
                5) สิ่งแวดล้อม  (Surrounding  Objects)  ในการแปลตีความภาพถ่ายบางครั้งการตัดสินใจแยกแยะวัตถุทำได้ยากเนื่องจากมีความคล้ายคลึงกัน  ดังนั้นสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆภาพหรือวัตถุที่เราต้องการพิจาราณานั้นอาจเป็นตัวช่วยในการแปลความหมายได้  ในขณะเดียวกันผู้แปลต้องมีความเข้าใจถึงรูปแบบและระบบการจัดการ  ตัวอย่างเช่น  สิ่งก่อสร้างใหญ่ๆที่มักจะตั้งอยู่ข้างทางรถไฟก็คือโรงงานอุตสาหกรรมหรือโกดังเก็บสินค้า  โรงเรียนก็มักจะมีสนามฟุตบอลอยู่ด้วย  อาคารของทหารมักจะปรากฏเสาธง  ที่จอดรถ  เส้นทางเข้าออก  ป้อมยามรักษาการณ์  สิ่งเหล่านี้จะบอกให้ทราบว่าคืออาคารกองบังคับการทหาร เป็นต้น

การเห็นแบบทรวดทรง  (Stereovision)
                ภาพถ่ายทางอากาศในแนวดิ่งจะไม่ปรากฏความต่างระดับคือจะมีลักษณะแบนราบไม่เห็นทรวดทรงซึ่งเรียกว่า  Stereoscopic  Vision  หรือเรียกง่ายๆว่า  Stereovision  คือจะเห็นทั้งทางยาว  ทางกว้าง  และทางลึก  (ระยะทาง)  ในเวลาเดียวกัน  ซึ่งจะทำให้เห็นได้ก็หมายความว่าเราจะต้องเห็นภาพเดียวกันจากสองตำแหน่งที่ต่างกัน   เกือบทุกคนสามารถมองเห็นภาพทรวดทรงหรือภาพสามมิติได้  นั้นคือภาพอาจมองเห็นสองครั้ง  จากดวงตาข้างซ้ายข้างหนึ่งและดวงตาข้างขวาอีกข้างหนึ่งแล้วสมองจะเป็นผู้นำภาพที่เห็นจากดวงตาทั้ง  ข้างมารวมกัน  แล้วแปลความหมายออกมาในรูปของความลึกหรือระยะทางได้   สาเหตุที่มนุษย์เห็นทางลึกได้นั้น  เพราะ
                1. ผลของระยะห่างศูนย์กลางแก้วตาทั้งสอง (Interpupillary Distance) ระยะดังกล่าวย่อมแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคล แต่ความแตกต่างจะอยู่ในระยะ 2.5 นิ้ว ถึง 3 นิ้ว
                2. ดวงตาทั้งสองแลเห็นวัตถุในมุมที่ต่างกัน บุคคลที่สายตาดีจะแลเห็นภาพทางลึกได้ในช่วงระยะไม่เกิน  1,800 ฟุต  เมื่อเลยระยะนี้ขึ้นไป  เส้นแนวการเห็นจะมีลักษณะเกือบขนานกันทำให้ภาพแต่ละภาพที่ดวงตาแต่ละข้างรับมาแล้วส่งผ่านไปยังสมองตามวิถีทางจักษุประสาท  มีลักษณะเกือบไม่แตกต่างกันเลยจึงไม่อาจเห็นทางลึกได้  ถ้าหากจะต้องการให้เห็นทางลึกได้ในระยะที่เกินกว่า 1,800  ฟุต  แล้วมนุษย์ต้องอาศัยเครื่องมือทางจักษุประสาทช่วยเช่น  กล้องส่องสองตา  หรือกล้องส่องทางไกลที่สร้างขึ้นโดยทำให้เลนส์ทั้งสองแยกห่างออกจากกันให้มากกว่าระยะศูนย์กลางแก้วตาทั้งสองของมนุษย์


ในการถ่ายภาพทางอากาศนั้นในแต่ละแนวบินจะถ่ายภาพถ่ายซ้อนกันอยู่ประมาณ  56 %  นั้นคือในภาพถ่ายแผนที่  จะมีภาพในแผนที่  ติดอยู่  56 %  เราเรียกว่า  ภาพซ้อน  (Overlap)  นอกจากนี้การถ่ายภาพในบริเวณใดบริเวณหนึ่งที่กว้างมากๆนั้น  การถ่ายภาพในแนวบินที่  อาจได้ภาพไม่หมด  ก็อาจถ่ายในแนวบินที่  ใหม่แนวบินที่ถ่ายภาพใหม่นี้จะต้องบินขนานกับแนวบินที่  และต้องมีการถ่ายภาพซ้อนกันด้วย  ภาพซ้อนในแนวบินนี้เรียกว่า  ภาพซ้อนด้านข้าง  (Side  lap)  โดยทั่วไปแล้วภาพจะซ้อนทับกันอยู่ระหว่าง  15-20%  ดังรูป



ภาพถ่ายที่จะนำมาดูทรวดทรง 3 มิติต้องเป็นภาพถ่ายคู่ทรวดทรง (Stereo pair) ซึ่งเป็นภาพที่ถ่าย   
                 เป็นแผ่นๆต่อเนื่องกันซึ่งแต่ละแผ่นต้องมีส่วนภาพถ่ายทับหรือซ้อนกัน


ภาพแสดงตำแหน่งเลนส์กล้องเคลื่อนที่ไปจากการถ่ายครั้งที่ และ ครั้งที่  2



             ตามรูปจะเห็นได้ว่ากล้องได้เคลื่อนที่จากการถ่ายครั้งที่ 1 ไปอยู่ที่การถ่ายครั้งที่ 2 ภาพที่ได้จะเป็นภาพซ้อนหรือทับกัน เราเปรียบเทียบเสมือนตากล้องเอามาแทนตาของเรา ระยะห่างระหว่างการถ่ายครั้งที่ และครั้งที่  2  ใช้แทนระยะห่างศูนย์กลางแก้วตาทั้งสองของเราจึงใช้ภาพแทนมาแทนตาเราและก็เห็นในลักษณะเดียวกัน การมองเห็นทรวดทรงนั้นต้องมองดูด้วยตาสองตาจึงจะเห็นทรวดทรงในภาพถ่ายได้  ถ้ามองภาพด้วยตาข้างเดียวจะเห็นทรวดทรงไม่ได้เพราะเห็นเพียงมุมในตำแหน่งเดียว การมองเห็นทรวดทรงของภาพเราสามารถดูด้วยตาเปล่าทั้งข้างได้โดยเราจะต้องมองดูภาพวัตถุจากภาพถ่ายที่ Overlap  กัน  คือตาข้างหนึ่งมองที่แผ่นที่หนึ่งและอีกข้างหนึ่งมองที่อีกแผ่นหนึ่งบนวัตถุชิ้นเดียวกัน  วิธีการนี้ต้องอาศัยการฝึกให้เกิดทักษะในการมองภาพดังกล่าว  แต่จะง่ายขึ้นมากถ้าหากเราใช้กล้องเพื่อการดูภาพทรวดทรงช่วย  กล้องที่ช่วยให้มองเห็นภาพดังกล่าวเรียกว่า  สเตอเรโอสโคป  (Stereoscope)  ซึ่งจะขอพูดเพียง  ชนิดเท่านั้นคือ
                1.  Pocket Stereoscope เป็นกล้องสเตอเรโอสโคปแบบกระเป๋า เหมาะที่พกพาติดตัวไปที่ต่างๆได้ราคาไม่แพงนัก แต่ก็มีข้อจำกัดคือเรื่องของกำลังขยาย และระยะระหว่างจุดที่เหมือนกันในภาพถ่ายคู่จำกัดให้มีระยะห่างประมาณเท่ากับระยะฐานตาของผู้มอง กล้องชนิดนี้ประกอบด้วยแว่นขยายติดอยู่บนกรอบโลหะและมีขาตั้งสำหรับถ่างออกหรือพับเก็บได้
                2.  Mirror  Stereoscope  เป็นกล้องสเตอเรโฮสโคปที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ขนาดใหญ่ หนัก เสียหายง่าย  ราคาแพง  ประกอบด้วยเลนส์มองภาพและเลนส์ขยาย ชิ้น ติดอยู่กับกรอบโลหะขาตั้งแท่นสเตอเรโอสโคป  ชนิดนี้มีขนาดใหญ่กว่าสเตอเรโอสโคปแบบกระเป๋า ถอดพับเก็บในหีบเก็บได้มีประสิทธิภาพสูง  นอกจากดูภาพ  3  มิติแล้วสามารถหาค่าความสูงของวัตถุในภาพถ่ายได้โดยใช้ประกอบกับ  Parallax  bar  และ  Stereo  plotting  สำหรับการเขียนเส้นชั้นความสูง (Contour) โดยทั่วไปนิยมใช้ในงานที่ละเอียด

วิธีจัดภาพเพื่อดูทรวดทรง
                1) จัดภาพให้เรียงตามลำดับก่อนหลังตามแนวการบิน  โดยให้เงาของวัตถุหันเข้าหาตัวผู้ดู
                2) วางภาพถ่ายคู่ทรวดทรงลงบนพื้นราบโดยให้รายละเอียดบนแผ่นทื่ 1 ตรงกับ รายละเอียดในแผ่นที่ 2 (บริเวณที่เป็นภาพซ้อนกัน)
                3) กางขากล้องสเตอเรโอสโคปลงบนภาพคู่โดยให้เลนส์ทางซ้ายมืออยู่บนภาพแผ่นซ้ายและเลนส์ขวามืออยู่บนภาพแผ่นขวา
                4)  ค่อยๆดึงภาพทั้งสองออกจากกันตามแนวการบิน จนมองเห็นรายละเอียดภาพที่ปรากฏใน  overlap  ของภาพด้านซ้ายมือปรากฏโดยตรงปรากฏด้านซ้าย  และรายละเอียดที่ปรากฏใน  overlap  ของภาพทางด้านขวามือปรากฏโดยตรงภายใต้เลนส์ด้านขวามือ
                5) จากภาพถ่ายและกล้องสเตอเรโอสโคปในตำแหน่งนี้  ภาพ  มิติน่าจะเกิดให้เห็นได้  อาจมีสิ่งเล็กน้อยที่ต้องกระทำ  เช่น  การจัดภาพ  หรือปรับตำแหน่งของสเตอเรโอสโคป  เพื่อให้เหมาะสมกับตาแต่ละคน  เป็นต้น  จากนี้เนินเขาจะปรากฏสูงขึ้นมาและหุบเขาก็จะมองดูลึกลงไปเหมือนกับภาพที่เรามองเห็นจากบนเครื่องบินนั้นเอง
                
              ข้อควรระวัง ที่อาจทำให้เกิดภาพทรวดทรงผิด ซึ่งเกิดขึ้นจากการวางภาพไม่เรียงลำดับก่อนหลัง จะทำให้ภาพที่ปรากฏผิดไปจาภาพที่เป็นจริง  เช่น ภาพภูเขา  ส่วนที่สูงกลับปรากฏเป็นที่ต่ำส่วนที่ต่ำปรากฏเป็นที่สูง  เป็นต้น  นอกจากนี้ก็มีการมองดูภาพคู่ทรวดทรง  (Stereo pair) ไม่เกิดทรวดทรง ทั้งนี้เพราะวางภาพไม่เรียงตามแนวการบินถ่ายภาพ หรือการใช้ภาพแผ่นเดียวกันมาเป็นภาพคู่ทรวดทรงในภาพคู่หนึ่งจะดูให้เป็นภาพทรวดทรงได้เฉพาะบริเวณที่มีส่วน Overlap และ Side lap เท่านั้น
                การแปลความหมายจากภาพถ่ายทางอากาศจะง่ายและถูกต้องมากยิ่งขึ้นหากได้นำภาพ มิติเข้ามาช่วยด้วย  อย่างไรก็ตามหลักของ  5’s  ซึ่งได้แก่  Size,  Shape,  Shadow  Shade  และ  Surrounding  Objects  จำเป็นต้องนำมาใช้ด้วย  ซึ่งจะทำให้ภาพที่ดูนั้นมีทั้งความกว้าง  ยาว  และลึกเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นนั้นเอง

การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศด้วยระบบคอมพิวเตอร์
 วิธีการจำแนกข้อมูลดาวเทียมด้วยระบบคอมพิวเตอร์แบ่งออกได้ 2 วิธี ได้แก่
                    1
. การจำแนกประเภทข้อมูลแบบกำกับดูแล (SUPERVISED CLASSIFICATION) เป็นวิธีการจำแนกข้อมูลภาพซึ่งจะต้องประกอบด้วยพื้นที่ฝึก (TRAINING AREAS) การจำแนกประเภทของข้อมูลเบื้องต้น โดยการคัดเลือกเกณฑ์ของการจำแนกประเภทข้อมูล และกำหนดสถิติของของประเภทจำแนกในข้อมูล จากนั้นก็จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งภาพ และรวบรวมกลุ่มชั้นประเภทจำแนกสถิติคล้ายกันเข้าด้วยกัน เพื่อจัดลำดับขั้นข้อมูลสุดท้าย นอกจากนี้แล้วก็จะมีการวิเคราะห์การจำแนกประเภทข้อมูลลำดับสุดท้าย หรือตกแต่งข้อมูลหลังจากการจำแนกประเภทข้อมูล (POST-CLASSIFICATION)
                    2. การจำแนกประเภทข้อมูลแบบไม่กำกับดูแล (UNSUPERVISED CLASSIFICATION)
เป็นวิธีการจำแนกประเภทข้อมูลที่ผู้วิเคราะห์ไม่ต้องกำหนดพื้นที่ฝึกของข้อมูลแต่ละประเภทให้กับคอมพิวเตอร์ มักจะใช้ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลเพียงพอในพื้นที่ที่การจำแนก หรือผู้ปฏิบัติไม่มีความรู้ความเคยชินในพื้นที่ที่ศึกษา วิธีการนี้สามารถทำได้โดยการสุ่มตัวอย่างแบบคละ แล้วจึงนำกลุ่มข้อมูลดังกล่าวมาแบ่งเป็นประเภทต่างๆ


คุณสมบัติของนักแปลตีความ
                ในการแปลตีความต้องอาศัยความรู้หลายสาขา (Multidisciplinary) มาประกอบเพื่อวินิจฉัยสิ่งที่ถูกต้อง การที่จะแปลตีความนั้นโดยทั่วไปนักแปลตีความที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้
                1) ความรู้ภูมิหลัง  (Background) การวินิจฉัยหรือแปลตีความพื้นที่ใดก็ตาม หากผู้แปลตีความมีความรู้และประสบการณ์ในด้านนั้นอยู่แล้ว ย่อมจะได้เปรียบกว่าบุคคลที่มาจากสาขาอื่น เช่น ผู้แปลที่มาจากสาขาเกษตรโดยทั่วไปแล้วจะแปลตีความในพื้นที่เกษตรได้ดีกว่าบุคคลที่มาจากสาขาอื่น เนื่องจากมีความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับธรรมชาติ และลักษณะของพื้นที่มาก่อนนั้นเอง
 2) ความสามารถทางสายตา  (Visual  Acuity)  การแปลตีความจำเป็นต้องอาศัยความสามารถทางสายตาของผู้แปลเป็นองค์ประกอบด้วย เนื่องจากการวินิจฉัยจากภาพจำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดที่ปรากฏในภาพ ลักษณะของเนื้อภาพ (Texture)  ความเข้ม (Tone)  ผู้ที่มีสายตาดีย่อมสามารถจำแนกพื้นที่ได้ดีกว่า
               3) ความสามารถของจิตใจ  (Mental  Acuity) ความสามารถของจิตใจมีความสัมพันธ์กับภูมิหลัง  ประสบการณ์  ความรักในงาน  การเป็นคนใจเย็น  รอบคอบ  ชอบสังเกต  จะเป็นผู้ที่มีความสามารถแปลภาพได้ดี
              4) ประสบการณ์  (Experience)  ผู้แปลตีความที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของบริเวณที่ทำการแปลภาพถ่าย จะสามารถวินิจฉัยสิ่งที่ปรากฏในภาพได้ดีกว่าผู้ที่ไม่มีประสบการณ์  ซึ่งประสบการณ์ดังกล่าวสามารถสั่งสมได้จากการศึกษา การเดินทาง การท่องเที่ยว การชอบสังเกต และจดจำ ตลอดทั้งต้องมีความสนใจและมีนิสัยชอบอีกด้วย ความผิดพลาดจากการแปลหากนำมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุในความผิดพลาดแล้ว จะทำให้ผู้แปลสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวินิจฉัยข้อมูลในพื้นที่ ให้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้นด้วย
              


อ้างอิงแหล่งที่มาข้อมูล/ภาพ
ธวัช  บุรีรักษ์  และบัญชา  คูเจริญไพบูรณ์.  การแปลความหมายในแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ.
อักษรวัฒนา.  กรุงเทพ.




ลักษณะวงโคจรของดาวเทียม

วงโคจรของดาวเทียมมี 4 รูปแบบ


1.วงโคจรระนาบศูนย์สูตร (Equatorial Orbit)
                ระนาบการโคจรของดาวเทียมจะอยู่ในระนาบเดียวกับเส้นศูนย์สูตร ซึ่งเอียงทำมุมไม่เกิน 5 องศา ดาวเทียมจะเคลื่อนที่ไปทางเหนือหรือทางได้ได้ไม่ดเกิน 5 องศา อาจดูเหมือนว่าดาวเทียมจะอยู่บริเวณเหนือศูนย์สูตร จะเรียกดาวเทียมที่โคจรในรูปแบบนี้ว่าเป็น ดาวเทียมค้างฟ้า (Geostationary Satellite) มีการโคจรที่สัมพันธ์กับโลก 
(Geo Synchronous Orbit)
                 ดาวเทียมค้างฟ้า (Geostationary Satellite) จะมีตำแหน่งเสมือนอยู่กับที่แต่ความจริงนั้นดาวเทียมมีการโคจรรอบโลกด้วยความเร็วที่เท่ากับการที่โลกหมุนรอบตัวเองใน 1 รอบ
หมายเหตุ 1 รอบ เท่ากับ 23 ชั่วโมง 56 นาที 04.09054 วินาที หรือเท่ากับ 86164.09 วินาที


2.วงโคจรผ่านขั้วโลก (Polar Orbit)
                ระนาบการโคจรของดาวเทียมมีทิศทางในแนวเหนือใต้ มีประโยชน์สำหรับการถ่ายภาพด้วยดาวเทียม ในการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ เพราะว่าเวลาดาวเทียมโคจรจากขั้วโลกเหนือไปทางขั้วโลกใต้ โลกก็มีการหมุนรอบตัวเอง ทำให้แต่ละรอบที่ดาวเทียมโคจรผ่านนั้นมีพื้นที่ที่ต่างกันไป ทำให้ดาวเทียมสามารถโคจรผ่านได้ทุกพื้นที่ของโลก


3.วงโคจรระนาบเอียง (Inclined Orbit)
                ระนาบการโคจรของดาวเทียมจะทำมุมกับระนาบศูนย์สูตร 0-180 องศา ดาวเทียมที่ใช้วงโคจรนี้ได้แก่ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ สามารถถ่ายภาพได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในโลก และสามารถกำหนดวงโคจรให้ทุกครั้งที่ดาวเทียมโคจรผ่านพื้นที่ที่ต้องการในเวลาเดิม เช่น ฝูงดาวเทียม NavStra ที่ใช้งาน GPS ฝูงดาวเทียมดังกล่าวมีวงโคจรระนาบเอียงตัวอย่างดาวเทียมที่มีวงโคจรแบบระนาบเอียงดาวเทียมไทพัฒ มีระนาบทำมุมเอียงกับเส้นศูนย์สูตร 98 องศา ดาวเทียมจึงโคจรผ่านพื้นที่ระหว่าง Lat 82 องศาเหนือ กับ Lat 82 องศาใต้ เมื่อดาวเทียมไทพัฒ โคจรรอบที่ 11 จะผ่านพื้นที่กรุงเทพมหานครโคจรรอบที่ 12 จะผ่านประเทศอินเดีย
 
4.วงโคจรโมนิยา (Molniya Orbit)
                เนื่องจากดาวเทียมค้างฟ้าไม่สามารถให้บริการสื่อสารในบริเวณใกล้ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ได้ เนื่องจากความโค้งของโลก การให้บริการในพื้นที่ลักษณะนี้จะต้องใช้ดาวเทียมในวงโคจรพิเศษ คือวงโคจรโมนิยา ซึ่งเป็นดาวเทียมของประเทศรัสเซีย วงโคจรนี้ปลายของวงโคจรทางซีกโลกเหนือจะอยู่ไกลสุดห่างจากผิวซีกโลกเหนือประมาณ 40,000 กิโลเมตร ปลายของวงโคจรทางซีกโลกโต้จะอยู่ห่างจากผิวซีกโลกใต้ประมาณ 450-600 กิโลเมตรเวลาที่ดาวเทียมโคจรทางซีกโลกใต้จะมีความเร็วสูงกว่าทางซีกโลกโลกเหนือ โดยเฉพาะที่ปลายวงรีในทางซีกโลกเหนือดาวเทียมจะมีความเร็วน้อยที่สุด และจะมีดาวเทียม 3 ดวงเคลื่อนที่ตามกัน ทำให้เห็นดาวเทียมอยู่ทางซีกโลกเหนืออยู่ตลอกเวลา เมื่อดาวเทียมดวงหนึ่งเคลื่อนที่ผ่านไป ดวงที่เคลื่อนที่ตามมาก็จะเข้ามาแทนที่ จึงดูเหมือนว่าเป็นดาวเทียมสื่อสารค้างฟ้า และสามารถให้บริการสื่อสารได้ครอบคลุมขั้วโลกเหนือทั้งหมด




อ้างอิงข้อมูล / ภาพ
http://www.space.mict.go.th/